บ้านเรือนไทยภาคเหนือ

ในเขตจังหวัดภาคเหนือส่วนหนึ่งมีลักษณะภูมิประเทศเป็นที่ราบลุ่มภูเขา
หุบเขา และที่ดอนบนเทือกเขาสูงมีความสูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ ๑๕๐๐-๓๐๐๐ เมตร
นับตั้งแต่เทือกเขาด้านตะวันตกในเขตจังหวัดแม่ฮ่องสอนอ้อมมาส่วนเหนือที่จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย
และด้านตะวันออกที่จังหวัดน่าน
ลักษณะสภาพทางภูมิศาสตร์ข้างต้น ทำให้เกิดการตั้งถิ่นฐานขึ้น ๒ แบบคือ
๑. ที่ดอนบนดอย หรือทิวเขา เป็นที่อยู่ของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ
ทำการกสิกรรมแบบไร่เลื่อนลอย
๒. บนที่ราบลุ่มเป็นบ่อเกิดของวัฒนธรรมล้านนา การตั้งถิ่นฐานในภาคเหนือ
เริ่มตั้งแต่เรือนหลังเดียวในเนื้อที่หุบเขาแคบ จนถึงระดับหมู่บ้านและเมือง ซึ่งการขนานนามหมู่บ้านนั้นขึ้นอยู่กับสภาพที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ เช่น
หมู่บ้านที่ขึ้นต้นด้วย “ปง” คือบริเวณที่มีน้ำซับ “สัน” คือบริเวณสันเนินหรือมีดอน “หนอง” หมายถึงบึงกว้าง “แม่” คือที่ตั้งที่มีลำธารไหลผ่าน ดังนั้นชื่อเดิมของหมู่บ้านจึงเป็นการบอกลักษณะการตั้งถิ่นฐานแต่แรกเริ่ม จากสภาพการตั้งถิ่นฐานของชุมชนภาคเหนือ ทำให้เกิดเรือนประเภทต่างๆ
ขึ้นตามสภาพการใช้งาน
ซึ่งสามารถแบ่งเรือนพักอาศัยออกเป็นประเภทใหญ่ๆ ดังนี้
๑. เรือนชนบท หรือเรือนเครื่องผูก
เรือนประเภทนี้หาดูได้ทั่วไปตามชนบทและหมู่บ้านต่างๆ
เรือนชนิดนี้โครงสร้างของหลังคา ตง พื้น ใช้ไม้ไผ่
ส่วนคานและเสานิยมใช้ไม้เนื้อแข็ง
ฝาเป็นฝาไม้ไผ่สาน หลังคามุงแฝกหรือใบตองตึง
นิยมใช้ตอกและหวายเป็นตัวยึดส่วนต่างๆ
เรือนเข้าด้วยกันด้วยวิธีผูกมัด
เรือนชนบทเป็นเรือนขนาดเล็กถือว่าเป็นเรือนแบบดั้งเดิม
เพราะวิธีการก่อสร้างเป็นวิธีการที่เก่าแก่ที่สุดอย่างหนึ่ง
ซึ่งในปัจจุบันชาวบ้านที่มีรายได้น้อย
ยังนิยมปลูกสร้างเรือนเครื่องผูกนี้ทั้งในตัวเมืองและชนบท
๒. เรือนกาแล เป็นเรือนพักอาศัยของผู้มีอันจะกิน
ผู้นำชุมชนหรือบุคคลชั้นสูงในสังคม
ตั้งแต่ระดับชนบทจนถึงระดับเมือง
เรือนประเภทนี้เป็นเรือนที่สร้างด้วยไม้เนื้อแข็ง หรือไม้จริงทั้งหมด
เรียกตามลักษณะของไม้ป้านลม หลังคาส่วนปลายยอดที่ไขว้กัน
ซึ่งชาวเหนือเรียกส่วนที่ไขว้กันนี้ว่า”กาแล” สำหรับคำว่า “เรือนกาแล” เป็นชื่อที่นักวิชาการทางสถาปัตยกรรมบัญญัติไว้
เพื่อแยกความแตกต่างระหว่างเรือนไม้จริงแบบที่ ๓ หากแต่ชาวล้านนาในปัจจุบันเรียกว่า “เฮือนบ่าเก่า”
(เฮือนคือเรียน
บ่าเก่าคือโบราณ) เพราะเป็นเรือนทรงโบราณของล้านนานั่นเอง ลักษณะพิเศษของเรือนกาแลอยู่ที่ยอดจั่วประดับกาแลเป็นไม้สลักอย่างงดงาม
ใช้วัสดุก่อสร้างคุณภาพดี ฝีมือช่างประณีต แต่มีแบบแผนค่อนข้างตายตัว ส่วนใหญ่เป็นเรือนแฝด
มีขนาดตั้งแต่หนึ่งห้องนอนขึ้นไป
โดยทั่วไปเรือนประเภทนี้จะมีแผนผัง ๒ แบบใหญ่ ๆ คือ แบบที่ ๑ เอาบันไดขึ้นตรงติดชานนอกโดด
ๆ แบบที่ ๒ เอาบันไดอิงชิดแนบฝาใต้ชายคาคลุม
ทั้งสองแบบนี้จะใช้ร้านน้ำตั้งเป็นหน่วยโด ๆ มีโครงสร้างของตัวเอง ไม่นิยมตีฝ้าเพดาน ปัจจุบันหาเรือนกาแลดูได้ยาก
เพราะมีหลงเหลือให้เห็นเพียงไม่กี่หลัง อย่างไรก็ตาม เรือนชนิดนี้เป็นเรือนที่แสดงถึงวิวัฒนาการของกระบวนการก่อสร้างบ้านพักอาศัยของชาวล้านนาที่ถึงจุดสูงสุดก่อนได้รับอิทธิพลจากต่างถิ่น ตลอดจนเป็นเรือนที่แสดงถึงเอกลักษณ์ของชาวล้านนาอย่างชัดเจน
ทั้งการวางผังพื้นที่ การจัดห้องต่าง ๆ ภายในตัวเรือน
ตลอดจนรูปทรง ล้วนสะท้อนถึงแบบแผนการดำเนินชีวิตตามระเบียบประเพณีของล้านนาทั้งสิ้น
๓. เรือนไม้ เป็นเรือนพื้นเมืองของล้านนาอีกรูปแบบหนึ่งทีเกิดขึ้นภายหลังเรือนกาแล
รูปแบบหรือลักษณะทางกายภาพของเรือนประเภทนี้
เกิดจากการผสมผสานทางวัฒนธรรมการปลูกสร้างแบบดั้งเดิมกับวัฒนธรรมที่ชาวบล้านนา ได้รับจากภายนอก
ซึ่งช่างล้านนาได้รับระบบวิธีการปลูกสร้างและค่านิยมจากภาคกลางในสมัยรัชกาลที่ ๕
เป็นต้นมา เรือนประเภทนี้ รูปทรงภายนอกของเรือนจะผันแปรไปตามสมัยนิยม
โดยเฉพาะลักษณะฝา ระเบียบการเจาะช่องประตูหน้าต่าง การขึ้นทรงหลังคาที่มีระนาบซับซ้อน เป็นการแสดงถึงอัจฉริยภาพของช่างพื้นเมืองที่รู้จักประสานประสาน
ประโยชน์จากความรู้กับเทคนิควิทยาการช่างที่ได้รับมาจากต่างถิ่นได้อย่างกลมกลืนเรือนไม้บางหลังมีการนำเอาระเบียบ วิธีการตกแต่งลายฉลุไม้มาตกแต่งทรงจั่วหลังคาและเชิงชายตามแบบอิทธิพลช่างไทยภาคกลางรับมาจากตะวันตก ชาวล้านนาเรียกเรือนประเภทประดับลายฉลุไม้นี้ว่า “เรือนทรงสะละไน” ซึ่งเป็นคำที่ยังหาความหมายที่ชัดเจนไม่ได้ แต่ก่อนที่สถาปนิกซึ่งได้รับการศึกษาแนวทางแบบตะวันตกจะเข้ามามีบทบาทในการเปลี่ยนรูปแบบเรือนพักอาศัยให้ทันสมัยมากขึ้นนั้น ชาวล้านนาเองเรียกเรือนชนิดนี้ว่า “เฮือนสมัยก๋าง”
(เรือนสมัยกลาง) หมายถึงเรือนพื้นเมืองที่อยู่ในช่วงสมัยระหว่าง “เฮือนบ่าเก่า” (เรือนโบราณ)กับเรือนแบบสากลยุคใหม่ที่ชาวบ้านเรียกว่า “เฮือนสมัย” (เรือนสมัยใหม่)
ที่มา https://sites.google.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น